28 September 2008

การหาผลงานติด lobby และห้องอาหาร

จนไปถึงขั้นสุดท้ายก็คือเชิญศิลปินมาคุยกับเจ้าของ เพื่อความมั่นใจ เพื่อขอความเห็นของศิลปินด้วย ศิลปินคนนี้ชื่อปริญญา ตันติสุข (เป็นอาจารย์ของพ่อแม่ตอนอยู่ช่างศิลป์ด้วย) ของศิลปินอีกคน ชื่อปัญญา วิจินธนสาร เป็นศิลปินคนเดียวกับคนที่เชียนภาพใหญ่ที่สุวรรณภูมินั่แหละ
คอมพิวเตอร์ช่วยมากเลยนะ สมัยนี้ นี่ถ้าทำโปรแกรม 3 D ก็คงสนุกไปแล้วล่ะ




ภาพนี้เป็นภาพภายในห้องอาหารชั้น2 และlooby ของโรงแรม (ตึก1ติดแม่น้ำ) มีหลายเงื่อนไขเชียว เช่น ที่คิดว่าน่าจะหาภาพติดตรงไหนบ้างดี ควรเป็นภาพของศิลปินมีชื่อเสียง หรือเป็นงานออกแบบดี สไตล์ของภาพที่จะติดเป็นแบบไหนดี ขนาดเท่าไร ติดแล้วจะเป็นไงนะ .... ล้วนแต่ต้องคุยกัน ซึ่งในขั้นแรกก็ต้อง retouch ให้เห็นภาพโดยประมาณก่อน ว่าอารมณ์ขนาดไหน โดยแม่จะเป็นคนเสนอศิลปินให้เลือก

การติดตั้งประติมากรรมใน lobby

บริเวณlobby ของตึกที่2 พอเอาประติมากรรมาตั้งก็ให้ดูมีชีวิตชีวาดีเหมือนกันเนอะ แล้วก็เป็นการแสดงงานของศิลปินอย่างหนึ่งด้วยไม่แน่ใจว่าเมฆ เมือง มาเห็นที่จริงแล้วหรือยัง

ทานข้าวกันที่สีลมภัตราคาร

เมื่อวันอาทิตย์ก่อนนัดไปกินข้าวกันที่สีลมภัตราคารกัน เพราะไม่ได้เจอกันนานเหมือนกัน วันนี้มีสมาชิคใหม่มาอีกคนคืออาเต่า ในภาพนั้นทานกันจนหมดกันแล้ว

27 September 2008

พ่อไปเปิดงานศิลปะ ที่ม.กรุงเทพ

ลุงสมยศเขามาจากเยอรมัน พร้อมกับศิลปินเยอรมัน2-3คน รวมกับลงไทวิจิตอีกคน แสดงงานเล็กๆน้อยที่หอศิลป์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ พ่อก็ไปร่วมแสดงความยินดีด้วย
ภาพนี้ภายในห้องก่อนที่จะมีพิธีเปิด แบบง่ายๆ
ภายในห้องแสดง
ในมหาวิทยาลัยของไทยที่มีคณะที่สอนศิลปะ ก็จำเป็นต้องมีหอศิลปะเหมือนกันนะ
เพื่อเป็นสนามให้นักศึกษาได้จัดงาน พร้อมกับรับจากภาพนอกด้วย ก็คล้ายกับ คณะที่สอนดนตรีก็ต้องมีคอนเสิร์ตฮอลล์ ให้เป็นเวที่กับนักศึกษา และนำมืออาชีพจากภายนอกมาสร้างแรงบันดาลใจให้นักศึกษา ทั้งยังเรียกว่าบริการสังคมด้วย

ของบริจาค “บ้านครูน้อย”

นี่ก็ภาพฝีมือแม่ครับ วันก่อนมีลูกค้าเขาเป็นอาสาสมัครไปสอนหนังสือที่ บ้านครูน้อย (บ้านสงเคราะห์เด็กที่ด้อยโอกาส) แม่ทราบเรื่องปั๊บ ก็แสดงควาจำนงว่าจะฝากขอไปบริจาคได้มั้ย เขาก็ว่าได้ครับ แม่ก็ขึ้นตุ๊กๆไปปากคลองตลาดทันที ได้ของกลับมาที่เห็นในรูปนี่แหละ พ่อบอกว่านี่แหละเขาเรียว่าทำบุญแล้ว ความดี ความสุขที่เกิดกับตัวผู้ให้ ความดีความสุขที่เกิดแก่ผู้รับ และแม้นใครได้รู้เรื่องนี้เข้าก็ร่วมยินดีในสิ่งที่ทำนี้ 3สิ่งนี้เกิดขึ้น เราก็เรียกว่าทำบุญแล้ว
เห็นมั้ยครับแม่ เรื่องง่ายๆ แค่หยิบกล้องขึ้นมาถ่าย เราก็ได้เรื่องราวมาคุยกันแล้ว เรื่องจะสำคัญหรือไม่ รูจะสวยหรือไม่ก็ไม่สำคัญ สำคัญที่เราได้คุยกันผ่านรูปต่างหากเนอะ

ภาพแรกจากฝีมือแม่ กล้องแม่

หลังจากรอมานาน กล้องใหม่ก็มีแล้ว ขนาดเล็ก กระทัดรัด บางเฉียบ สามารถพกติกกระเป๋าได้สบาย แต่คุณมาม้า ก็ไม่ยอมดึงออกมาถ่ายซักที แต่...นี่ครับ เมือวันอาทิตย์ที่ผ่านมา คุณแม่ไปฟังบรรยายธรรม โดยพระอาจารย์คึกฤทธิ์ ที่ม.ธรรมศาสตร์มา ถ่ายมาด้วยครับ...ดีครับแล้วเราจะรอผลงานต่อไป

11 September 2008

หลวงลุง พระอาจารย์อำนาจ โอภาโส

พระอาจารย์อำนาจ โอภาโส เดิมชื่อ อำนาจ กลั่นประชา (ที่เรียกหลวงลุงเพราะ แต่เดิมพ่อเคยเรียกว่า ลุงหมู เพราะเป็นพี่ชายของป้าตุ่ม) เป็นศิลปินแนวพุทธศิลป์มาตลอดด้วยเพราะศึกษาปรัชญาพุทธมาตลอด จนมาบวช(ไม่น่าเกิน 5 ปีนี้เอง) ทางสายปฏิบัติ เช่นเดียวกับพระอาจารย์ปราโมท มีผู้เลื่อมใสศรัทธามากในแนวการสอน คนมาฟังกันแน่นเชียว
วันนี้แม่ก็เลยชวนพ่อมาฟังธรรมที่บ้านอารีย์ ฟังแล้วก็ดีนะ มีมุมใหม่ๆที่อาจจะไม่ค่อยคุ้นเคย ก็ต้องตามต่อไป

มอบทุน

11ก.ย.
ทุกๆปี ฝ่ายกิจกรรมนักศึกษาของมหาวิทยาลัยเขาจะกันเงินส่วนหนึ่งจากค่าเช่าของเรา (ค่าเช่าสโมเดือนละ 15,000 บาท) มาเป็นให้นักศึกษาที่ทำกิจกรรม 5 คณะคือ จิตรกรรม สถาปัตย์ มัณฑนศิลป์ โบราณคดี และดุริยางค์ ก็เป็นเงินมากโขเหมือนกันนะ แต่เราก็ยินดี ในภาพรองอธิการบดีเขาก็จะกล่าวสรรเสริญร้านเรา และก็ภาพนักศึกษาที่รอรับทุนๆละ5-8พันบาทได้

สมาชิกใหม่


วันรุ่งขึ้นเราก็เห็นแม่มันมาป้อนอาหาร ช่างน่าอัศจรรย์จริงๆนะ แม่มันป้อนอาหารโดยวิธี ตัวแม่จะเคี้ยวอาหารก่อน แล้วจึงอ้าปากให้ลูกมาจิกกินจากปากแม่มันเอง... แต่ใครกันนะที่สอนมัน สัญชาตญานความเป็นแม่นั่นเอง

คุณแม่ก็เลยช่วยเอาข้าสุก และข้าวสารมาวางไว้ให้ แม่มันจะได้ไม่ต้องบินไปไกล แต่มันมากินหรือเปล่าไม่แน่ใจ ถือเป็นสมาชิกใหม่อีกแล้วนะ
ขณะที่พอทำงานอยู่ ก็ได้ยินเสียง “ปุบ” ที่ข้างนอกนะเบียง มองออกไปก็ปรากฎว่าเป็นลูกนกที่ตกมาจากรังข้างบน จะทำอย่างไรดีล่ะ จะเอาขึ้นไปส่งคืนก็กลัวว่าจะตกมาอีก ก้หวังแต่ว่าแม่มันจะลงมาจัดการเอง (นกอะไรก็ไม่รู้ น่าจะเป็นนกเขาแต่ไม่ใช่นกพิราบแน่ๆ)

04 September 2008

พระอาจารย์คึกฤทธิ์ ที่บ้านอารีย์

ขณะที่ท่านบรรยาย จริงๆก็เหมือนๆใน CDนั่นแหละ แต่มาฟังสดก็ได้อีกบรรยากาศ มาฟังแต่ละครั้งก็ได้อะไรๆใหม่เสมอ แต่เราก็ยังขาดอยู่อย่างเดียวคือ “ปฏิบัติ” อย่างข้อปฏิบัติของพระที่พระพุทธเจ้ากำหนดนั้น เขาให้พระศึกษาแค่วันละนิดเดียวเท่านั้น นอกนั้นให้เดินจงกรม สลับนั่งสมาธิ แต่เราก็ไม่ได้ทำซักอย่างเลย...เฮ้อ...
พ่อกับแม่มาก่อน แต่เลือกนั่งพื้นดีกว่า ดูได้บรรยากาศดี แต่ไม่วายต้องหาที่นั่งพิงนะ แทนที่จะไปนั่งหน้าสุด
4 ก.ย. แม่ชวนพ่อไปฟังธรรมโดยพระอาจารย์คึกฤทธิ์ ที่มูลนิธิบ้านอารีย์ (ติดBTSสถานีอารีย์) ที่นี่จะมีโปรแกรมเช่นนี้หมุนเวียนตลอด สถานที่ก็ดีมาก รูบยาวที่เห็นนี้เป็นในห้องที่เรียกว่า ศาลา ติดแอร์สบายมาก คนที่นั่งพื้นไม่ไหวก็ไปนั่งเก้าอี้ ขณะที่ถ่ายภาพยังไม่มีคนมากันจึงดูโล่ง แต่ตอนแสดงธรรมจะมีคนนั่งเต็ม รวมไปถึงนอกห้องด้วยที่ตั้งเก้าอี้ไว้เยอะเลย
เมื่อจบแล้วญาติโยมก็ไปถวายปัจจัยกัน รวมทั้งไปขอรับหนังสือจากท่านด้วย ขอฟรีล่ะชอบนัก เอาไว้ก่อน แต่ไม่อ่านหรอก..คนเรา