31 August 2009

DAY 9, Aug 5, 2009


ออกจากกันดั้มแล้วเราไปแวะอีกศูนย์การค้าหนึ่งที่ใกล้ที่สุด อยู่อีกชั่วโมงกว่าจึงกลับโรงแรมกัน

ไอ้กันดั้มนี่มันน่ารักจริงๆ จะตั้งอยู่แค่ 2-3 เดือนเท่านั้นแหละ

จะบอกว่ากันดั้มตัวจริงก็กระไรอยู่นะ เพราะมันไม่ใช่ความจริงนี่ เป็นการ์ตูน เอาเป็นขนาดเท่าที่ในการ์ตูนเขาจินตนาการไว้ก็แล้วกัน แต่เมื่อเข้าไปดูใกล้แล้ว เราก็มีอารมณ์ร่วมนะว่ามันเป็นตัวจริง วัสดุต่างๆมันเนี๊ยบไปหมด ไม่นับว่ามันขยับหัว หรือปล่อยควันได้นะ เรายังคิดว่ามันน่าจะเดินได้ด้วยซ้ำ


เดินมาไกลพอสมควรเชียว แต่เมื่อมาเจอที่โล่งริมน้ำแล้วก็หายเหนื่อย แดดอ่อนๆ ลมเย็นกับวิวริมน้ำทำให้เราสดชื่นขึ้น อิ่มแล้ว ถ่ายรูปแล้ว ก็มุ่งหน้าไปชมกันดั้มตัวจริงกัน

ออกจาก Miraikan แล้วเราต้องเดินไปหา gundam แต่คิดว่ามันถึงเวลาอาหารแล้วคงไม่มีที่ให้กินแถบนี้แน่ ก็เลยแวะซื้อของกินเล่น ที 7-11 กะว่าจะไปนั่งกินริมน้ำ


รูปเมฆ๒รูปนี้ในมุมเดียวกันดีทั้งคู่ พ่อถ่ายรูปหนึ่ง เมืองถ่ายรูปหนึ่ง แต่การจัดอัลบั้มหน้าคู่นี้จะต้องมีรูปเดียวเลยอัดมาให้แม่เลือก แม่ไม่เลือกเลยบอกว่าก็เอาทั้งสองสิไม่เห็นเป็นไร



เราอยู่จนปิดนั่นแหละแต่ไม่ลืมที่จะถ่ายภาพเอาไว้ด้วย

นึกไม่ถึงเลยว่าเมฆและเมืองจะชอบ และสนใจแนวนี้ด้วย เราก็เลยใช้เวลาค่อนข้างนาน โดยปกติเวลาพ่อพาไปพิพิทธภัณฑ์ก็เกรงใจอยู่ ไม่กล้าอยู่นานกลัว(แม่)เบื่อ เราก็เลยไปแบบให้รู้ว่า “ฉันมาแล้วนะ” ถ่ายรูปแล้วก็กลับ ที่นี่แม้แม่จะเบื่อบ้าง แต่ก็ยินดีนั่งคอยนะ



ที่Miraikanนี้ ไม่เคยอยู่ในโปรแกรมการท่องเที่ยวของใครแน่นอน แต่มีหนังสือแนะนำอยู่เล่มหนึ่งที่เราเชื่อเราจึงมา

รถไฟสายที่จะไปโอไดบะเป็นขบวนสั้นๆ เราได้ขึ้นตู้หน้าซึ่งมีมุงมองที่แปลกตามาก เมืองถ่ายภาพชุดนี้แสดงถึงลำดับเหตุการณ์ต่างๆ(บางส่วน)ตลอดระยะเวลาเดินทาง(รูปจริงทั้งชุดมีเยอะ) เราผ่านเห็นกันดั้มแล้ว แต่ยังร้อน เราเลยไปพิพิทธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แนวใหม่กันก่อนดีกว่า

เช้านี้เราไม่มีอะไรต้องรีบร้อนแล้ว จึงนอนตื่นกันแบบสบายๆ สายๆเราก็ออกจากโอซาก้า เพื่อมุ่งหน้ากลับโตเกียว นั่งรถกลับไปอีก3ชั่วโมง เมื่อถึง Shinagawa แล้วเราเปลี่ยนแผนอีกคือ แทนที่จะมุ่งตรงโรงแรม เรากลับไม่ไปต่อ โอไดบะ เลยโคยฝากของไว้ที่สถานี เพื่อไป๒เป้าหมายคือ Miraikan และGundam

30 August 2009

DAY 8, Aug 4, 2009

ย่านนัมบะซึ่งเป็นย่านช้อปปิ้ง จริงๆแล้วมีเป้าหมายที่จะไปไกลกว่านี้คือบริเวณที่มีป้ายไฟ กูลิโกะ แต่แผนเปลี่ยนเพราะว่า แม่เจอร้อน100 เยนขนาดใหญ่เข้า เมฆก็พบทาวเวอร์เรคคอร์ด มีมูจิ เมืองก็สบทบกับแม่บ้าน เราก็เลยอยู่แถวนี้จนเลิกปิดท้ายด้วย เนื้อย่าง อีกซักมื้อหนึ่ง

ออกจากเรียวคังโดยรถของเรียวคังเอง มาที่สถานีก็ยังต้องรออีกนานเราจึงมีเวลาทานข้าวเช้ากันใน 7-11ใกล้ๆสถานี ก่อนที่จะนั่งรถอีกหลายทอดหลายต่อเพื่อมุ่งหน้าไป โอซาก้า

ถึงสถานี ชินโอซาก้าแล้ว ก่อนจะต่อรถอีกขบวนเราก็แวะซื้อทาโกะยากิกินรองท้องกันก่อน ในภาพนี้จะเห็นแฟ้มที่เมฆเตรียมการไว้เกี่ยวกับรายละเอียด และการเดินทางไปโรงแรม โดยแผนที่ และภาพถ่าย

ขาเดินกลับพบวัดวัดหรืออะไรซักอย่างที่ดูสวยดี โดยเฉพาะแสง ซึ่งเป็นเรื่องที่ผมชอบที่สุด



ตลอดทางเราก็ยังคงมีพฤติกรรมเหมือนเดิม คือถ่ายรูป

สองรูปนี้เป็นหน้าคู่ต่อกัน
เดินไปจนสุดทางก็จะพบ บ้านแบบเก่าที่เขาอนุรักษ์ไว้ ก็ดูสวยดี นี่เพราะเจ้ารายการทีวี “วาบิ ซาบิ” แท้ๆเชียวที่ทำให้เราได้มาที่นี่กัน

กิจกรรมยามเช้าคือออกไปเดินตลาดเช้ากัน ก็เป็นตลาดพื้นบ้านแต่มีนักท่องเที่ยวมากมาย อากาศดี สดชื่น แม่ก็ชอบมาก


ด้วยเพราะที่นี่เป็นการพักเรียวคังครั้งเดียวในทริปนี้ก็เลยถ่ายรูปกันหน่อย ห้องอาบน้ำมีบ่อน้ำร้อนธรรมชาติให้แช่ด้วย มี๒ห้องสลับหญิงชายทุกวัน เช่นถ้าห้อง A วันนี้เป็นผู้ชาย พรุ่งนี้ก็จะเป็นห้องผู้หญิง เพราะห้อง๒ห้องไม่เหมือนกัน จึงสลับเพื่อความยุติธรรม พ่อก็ไปแช่มาในตอนค่ำ ขึ้นมารู้สึกเพลียเลย แต่ก็นอนหลับสบายด้วยผ้าห่มหนานุ่ม

DAY 7, Aug 3, 2009

ที่ร้านเนื้อย่างนี้เกือบเป็นเรื่องอีกครั้งเมื่อแม่รู้สึกว่ามันน่าจะแพง เพราะร้านดูหรูมาก แต่เมื่อดูเมนูแล้ว ก็ลองดู ทุกคนก็ใจตุ้มๆต้อมๆว่าจะมีอะไรที่เราไม่เข้าใจหรือเปล่า สั่งเนื้อมา ทุกคนก็ทานอย่างกระเหม็ดกระแหม่ แต่ก็อร่อยจริงๆ ซ้ำเมื่อเช้คบิลแล้วก็ไม่แพงอย่างที่คิดนะ เราบอกกันว่าถ้ากลับไปกรุงเทพจะขอไปกินที่ข้างบ้านให้สะใจอีกซักที แม้จะไม่อร่อยขนาดนี้ แต่ก็มีปริมาณที่ไม่ต้องเกรงใจกันล่ะ


พักเหนื่อยนิดหน่อยเราก็เดินออกมาเพื่อไปหาข้าวเย็นกัน บรรยากาศสบายๆไม่ร้อนแล้ว แต่ก็ถ่ายรูปมาตลอดทางเหมือนเคย

รูปนี้เป็นเครื่องพิสูจน์อย่างดีนะว่าบ้านเรานี่เก่งในเรื่องหามุมให้ตัวเองได้เป็นอย่างดี ไม่เชื่อก็ถอยหลังไปดูรูปเก่าๆดู ไม่แข็ง สบายๆ ธรรมชาติดี และมีจังหวะกันทุกรูปเลย

เราอยู่ที่ Hida นานพอควร จนกลับรถเมล์เที่ยวสุดท้าย และไม่ลืมที่จะไปขอยกเลิกการจองไปชิราคาวาโกะ ก่อนจะค่อยๆเดินจากสถานี เพื่อไปเรียวคังที่จองไว้ จะว่าเดินไกลก็ ประมาณครึ่งชั่วโมงได้มั้ง แต่ก็ถือเป็นการชมเมืองไปในตัว ระหว่างทางนั้นเราเดินริมคลองซึ่งก็ให้บรรยาการศที่ดีสดชื่นขึ้นเยอะ







ก็มาพบความจริงข้อหนึ่งที่เมฆให้เป็นเหตุผลว่า ถ้าไปแล้วไม่ต้องมัวแต่ถ่ายรูปจะได้ไหม เพราะเราถ่ายรูปซะจนไม่ได้ดู ไม่ได้ดูดดื่มอะไรกันเลย ซึ่งพ่อก็เห็นด้วย แต่ในขณะเดียวกันเราก็ต้องการจะมีรูปถ่ายด้วย นี่แหละชีวิตเราที่หากันอยู่นี่แหละ “ความสมดุล”

Hida Folk Village ก็สวยดี แดดเปรี้ยง ร้อน เราก็ถ่ายรูปไปเรื่อย จนเริ่มประเด็นว่า พรุ่งนี้เรายังจะไป ชิราคาวาโกะ หรือไม่ ทุกคนก็อ้ำอึ้งเพราะก็รู้อยู่ว่าแม่อยากไป แต่ลูกและพ่อไม่ค่อยอยากไป ก็พยายามจะชี้ให้เห็นว่าร้อนนะ แดดแรงนะ จนแม้เองก็ชักเห็นด้วย

ออกจากโตเกียวเพื่อเดินทางต่อไปยัง takayama ก็นั่งรถหลายต่อเช่นกันกว่าจะถึงก็บ่ายแล้ว เมื่อถึงสถานนีปลายทางแล้วเราก็ฝากสัมภาระไว้ที่สถานีก่อนจะซื้อตํ๋วรถเมล์ไปที่ HIDA พร้อมกับจองตั๋วไป Shirakawa-go ล่วงหน้าเลย

DAY 6, Aug 2. 2009

กลับโตเกียวอีกครั้งพักครึ่งทางก่อนที่จะเดินทางไปTakayamaในวันพรุ่งนี้

ขบวนรถไฟสีสวย บังเอิญว่าเรามาที่ขบวนเกือบจะถึงเวลาแล้ว จึงไม่มีเวลาถ่ายมากกว่านี้ การเดินทางเที่ยวหนึ่งนั่งรถไฟไปต่อชิงกันเซนที ฮาชิโนเฮ เพื่อกลับสู่โตเกียวอีกครั้ง เรายังปรึกษากันอยู่ว่าจะไปแวะ นิคโก้อีกครั้งมั้ย แต่เราก็สรุปว่าอย่าเลยเพราะจะเหนื่อยเกินไป

อิ่มจากอากหารเรายังมีเวลาเหลือ แม่ก็ยังอยากเดินดูทั่วๆไปจึงแยกไปเดินกับเมือง ส่วนพ่อกับเมฆก็กลับไปโรงแรมเตรียมเช็คเอาท์

ประติมากรรมหน้าสถานีฮาโกดาเตะ ก็ไม่รู้ว่าทำไมต้องไปถ่ายรูปคู่ด้วย แต่ถ่ายออกมาแล้วก็สวยดี แล้วก็นึกออกด้วยว่าที่ไหน

แล้วมาเดินดูร้านอาหารกัน พ่อแม่ไม่ได้กินด้วยแต่เห็นเมฆเมืองบอกว่าอร่อยดี
ตอนเช้าที่ฮาโกดาเตะ เราออกไปเดินตลาดเช้า ท่ามกลางปนตกพรำๆ ทำเป็นไปเดินดูปูยักษ์ฮอกไกโด อย่างเขาบ้าง แต่ไม่ได้กิน ไม่ใช่เพราะแพง แต่พวกเราไม่ได้พิศวาสปูกันขนาดนั้น

สำหรับบล็อกนี้มีของแถมที่อัลบั้มภาพไม่มี คือเหตุการณ์ “เจาะขนม”

เมื่อคืนก่อนที่เราซื้อขนมไปกินในห้อง (ไม่รู้ว่าจะเรียกว่าอะไรดี) เมืองก็ชื่นชมกับวิธีบรรจุ และวิธีเปิดกินที่มหัศจรรย์พันลึกมาก อร่อยจนเราเก็บมากินต่อบนรถไฟ แต่ด้วยความไม่รู้ของเราว่า ขนมนี้ต้องแช่เย็นเท่านั้น จึงจะทานได้ เหตุการณ์จึงเป็นดังที่เห็น

DAY 5, 1 Aug 1, 2009

การถ่ายภาพพลุนี้ โชคดีที่เมืองถ่ายเก็บไว้ ไม่งั้นคงไม่มีภาพบันทึกความประทับใจ ให้เรานึกถึงห้องเล็กๆในโรงแรม นอนบนเตียง ดูพลุด้วยกันจากช่องหน้าต่างเดียวกัน หลังจากนั้นเราก็เจาะขนมแสนอร่อยกิน

หลังขึ้นเขาชมวิว (แต่ไม่ค่อยได้เห็นวิว) แล้วเราค่อยๆเดินลงมาจากเคเบิ้ลคาร์ ตามถนน ไกลหน่อย ฝนตกพรำๆ ไม่เป็นไร แวะโน่นนิดนี่หน่อย สังเกตเห็นผู้คนเดินกันมาก โดยเฉพาะแต่งชุดกิโมโนกันมาก คาดว่าน่าจะดูพรุกันที่ริมทะเล แต่เราไม่รอดู มุ่งไปกิน (ราเม็งหรือโซบะ พ่อก็เรียกไม่ถูก) พรุก็เริ่มจุดแล้ว เราก็กินไป จนเลิกแม่ก็มาขอถ่ายรูปกับสาวๆในชุดกิโมโนหน่อย น่าแปลกนะว่าขณะที่เราถ่ายรูปนั้นเป็นอารมณ์หนึ่ง ว่าถ่ายไปทำไมวะ แต่พอมาเป็นรูปถ่ายแล้วก็เป็นรูปที่สนุกดี ก็คนดูใครจะไปรู้ล่ะว่าเบื้องหลังเป็นอย่างไร ก็ให้นึกถึงตอนที่ให้เมืองจัดนิทรรศการแสดงเดี่ยวที่อิตาลีนั่น ก็ใครจะไปรู้ล่ะว่าเบื้องหลังเป็นอย่างไร คนที่เห็นรูปถ่ายก็จะรู้สึกไปตามที่เราอยากให้เขารู้ ภาพนี้ก็เป็นหนึ่งในหลักฐานทางประวัติศาสตร์แล้ว


รูปนี้ผมชอบมาก ดูอบอุ่นดี แม่น่าภูมใจนะที่มีลูกชายแบบนี้



รูปพ่อกับแม่รูปนี้คล้ายกับรูปที่ติดในห้องนอนเลยต่างกันที่เวลาห่างกัน ๒๖ ปี แต่พ่อแม่ก็ยังรักกันเหมือนเดิม


รูปเมฆกับเมืองชุดนี้ ผมชอบนะ เท่ดี

พอเข้าโรงแรมแล้วเราก็ขึ้นเขาทันที น่าจะเป็นกรุ๊ปแรกๆด้วย คนจึงว่าง อากาศดีเย็นสบาย แต่เมฆหรือหมอกก็ไม่รู้ค่อนข้างหนา จึงไม่ค่อยเห็นวิวเท่าไร แต่ก็ไม่เป็นไร เป็นเมฆหมอกก็สวยดีสำหรับการถ่ายรูปของเรา

มุ่งหน้าสู่ ฮาโกดาเตะ เมืองใหญ่ทางใต้ของฮอกไกโด ทำไมต้องมาแวะที่นี่ ก็เพราะเขามีตลาดเช้า และก็มีวิวบนเขายามค่ำคืนที่ว่ากันว่าสวยมาก แต่รูปนี้คนคงสงสัยนะว่าวิวเบื้องล่างมองลงเขาสวย แต่ไหงมึงมาถ่ายคู่กับหอวิทยุวะ

แต่เราก็ได้ไปชิมตรอกราเม็ง (ที่ลองแล้วก็ว่าอร่อยมากจริงๆ) เราออกจากซับโปโรในช่วงเช้า โดยลากกระเป๋าเดินไปผ่านส่วน โดริ อันเป็นสวนเกาะกลางถนน(เท่านั้น)แต่ใหญ่หน่อย มีหอนาฬิกาด้วย (พ่อถ่ายรูปมานิดหน่อยแต่รูปไม่ดีจึงไม่ได้เอาลง)

โรงแรมเมอร์เคียว โดยการจองของเมฆ เป็นโรงแรมที่ดีที่สุดในทริปนี้ สบายที่สุด อยู่ใกล้ย่านเดินกลางคืนมาก (มีแม่กับเมืองเท่านั้นที่ออกไปเดินเล่น)