นี่นับเป็นการ "ปล่อยของ"ก็ว่าได้ สารพัดเก้าอี้ ที่ใช้อยู่ ที่สะสม ของเขาเอง ของสถาปนิก เอาออกมาโชว์กัน โดยมีพื้นที่ลุงมอร์ไซด์เพิ่งวาดสดๆในตอนเช้า มาเป็นพรม และแสดงขอบเขตไปในตัว

บริเวณสนามหน้าร้าน ใช้ป็นที่จัดงาน ในยามค่ำคืน ก็คลาคล่ำไปด้วยคน ทั้งจากกรุงเทพ และคนเชียงใหม่ เพราะลุงมอร์ไซด์เป็นคนมีเพื่อนเยอะ (มาก) ในเดือนหน้านิตยสารหลายฉบับก็จะลงงานนี้ในหน้าสังคม หลายคนที่มางานก็เพราะงี้ด้วย ต้องอยู่ในกระแสด้วย แต่พ่อกลับก่อนเพราะไม่ชอบเจอคนเยอะๆอย่างงี้ โดยเฉพาะสาวๆนางแบบทั้งนั้น

ศิลปิน ไม่เรื่องมาก กางผ้าแล้วเขียนเลย เหมือนกับภาพมันอยู่ในหัวอยู่แล้ว เพียงแต่เขียนออกมาเท่านั้นเอง ชุดศิลปินก็ยังมันตลอด รองเท้าแทนที่จะถอดออก กลับเอาถุงพลาสติกมาสวมทับแทน จะได้ไม่เลอะ (งานหรือรองเท้าไม่รู้)

ทางขึ้นขั้นสองที่ร่มรื่นด้วยต้นไม้ที่เขาปลูกเองทั้งหมด

อีด้านหนึ่งของห้องชั้น2

ชั้นบนเมื่อมองออกไปด้านนอกที่มีต้นไม้แขวนไว้ เวลามาบ้านลุงมอร์ไซด์อย่างงี้ เรามักจะได้รับแรงบันดาลใจอะไรแปลกๆเสมอ เหมือนๆกับว่า อะไรๆก็สามารถเป็นไปได้ทั้ง ถ้าเรากล้าทำ

อ่างล่างจานชามที่อยู่นอกห้อง เป็นประติมากรรมเลย เรียกอีกอย่างว่า Functional Object ก็ได้

มองย้อนกลับไปที่ร้าน มองเห็นชั้น2ด้วย

ลานทางเดินเมื่อมองจากตัวร้านออกไป ศิลปินจัดทุกอย่าง พอดีไปหมด เหมือนกับพื้นที่นั้นเป็นเฟรมผ้าใบ วัตถุต่างๆต้องจัดวาง หรือเรียกว่างาน Installation ก็ได้ คือการจัดวางต้องสัมพันธ์กับสภาพแวดล้อมด้วย

เคาท์เตอร์ที่ใช้ปีไม้ซุงมากระกอบ ให้ความรู้สึกดีไปอีกแบบ

ภายในร้านมองออกไปทางเดินด้านนอก

เก้าอี้นั่งที่เรารู้สึกได้ถึงการให้เกียรติกับลูกค้า เขาเอาของดี ของรักของเขามาให้เรานั่งนะนี่

หน้าร้านเมื่อมองจากถนน ชื่อร้าน Mood Mellow ส่วน "แผลงฤทธิ์"นั้นเป็นบริษัทสถาปนิกคลื่นลูกใหม่ ไฟแรง ก็ขนาดชื่อบริษัทยังกล้าขนาดนี้ ก็ยอมรับแล้ว

ลุงมอร์ไซด์ย้ายไปอยู่เชียงใหม่นานพอสมควรแล้ว ภรรยาแก(น้าเกศ) เลยเปิดร้านขนมเค้ก เน้นร้านสวย และขนมอร่อย เปิดร้านเป็นทางการในวันที่ 10ม.ค. นี่เอง แต่พอไม่ชอบงานเลี้ยงแบบนี้ ก็เลยขอไปแบบไปเช้าเย็นกลับ (งานมีตอนค่ำยันดึกๆเลย) ค่าตั๋วเครื่องบินแพง แม่เลยปล่อยให้พ่อไปคนเดียว
1 comment:
เมืองไม่ได้ไปด้วยเหรอครับ
Post a Comment